Header Ads

ขอเตือน! หากต้องการให้ธุรกิจรอดในยุคนี้ คุณต้องคิดแบบนักการตลาด ไม่ใช่นักธุรกิจ

    หัวข้อที่ผมโพส อาจจะฟังดูแรง หรือนักธุรกิจบางรายอาจจะไม่เข้าใจ "ก็ฉันเป็นนักธุรกิจนี้ จะไม่ให้คิดแบบนักธุรกิจ แล้วจะให้คิดแบบไหนล่ะ" แล้วผมก็จะตอบกลับไปว่า "คุณกำลังขายสินค้าให้ใครล่ะ ขายให้ลูกค้า หรือขายให้ตัวคุณเองไปใช้ล่ะ"  ผมไม่ได้บอกว่า คุณคิด หรือคุณเป็นนักธุรกิจไม่ดี แต่หลักการคิดในยุคการตลาดใหม่นี้ คุณจะคิดแบบเดิมไม่ได้อีกต่อไป คุณต้องคิดแบบเอาตลาด และลูกค้าเป็นที่ตั้ง ซึ่งผมจะบอกถึงข้อเสียที่ว่า หากคุณคิดทำธุรกิจ โดยคิดแบบนักธุรกิจ แล้วจะส่งผลเสียอย่างไรในความอยู่รอดของธุรกิจในปัจจุบันดังนี้


     การคิดแบบนักธุรกิจ จะส่งผลเสียต่อความอยู่รอดของธุรกิจในยุคการตลาดใหม่ด้วยเหตุผลดังนี้
  
     1. คิดแบบนักธุรกิจ จะคิดแต่เพียงวิธีที่จะได้รับผลกำไรสูงสุดเป็นหลัก 

          แน่นอน การคิดแบบนักธุรกิจ จะคิดเพียงได้รับผลกำไรสูงสุด โดยเอาตัวเงินกำไรเป็นที่ตั้งเท่านั้น คิดเพียงว่า จะทำอย่างไรเพื่อที่จะได้รับผลกำไรมากขึ้น  โดยมีการกำหนดเป้าหมายกำไรไว้ หากทำไม่ได้ตามเป้าก็จะเครียด กดดัน และจะทำทุกวิถีทางที่ทำให้กำไรที่ได้อยู่สูงขึ้นไปอีก  การนำตัวเงินเป็นที่ตั้งจะไม่ค่อยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมทางการตลาดมากมายนัก ซึ่งแน่นอน จริยธรรมทางการตลาด ก็จะลดน้อยถอยลงไป เพราะคำนึงถึงแต่ความต้องการของธุรกิจ และตัวของคุณเองเป็นหลัก

     2. การคิดแบบนักธุรกิจ ที่กดดันด้วยตัวเลขกำไรตลอดเวลา ทำให้ทีมงาน บุคลากรในองค์กรทำงานด้วยความไม่สบายใจ เกิดความเครียด และมีการลาออกของพนักงานค่อนข้างสูง
         แน่นอนการคิดแบบนักธุรกิจแบบเข้มข้นนั้น จะนำตัวเลขกำไรที่เป็นต้วเงินเป็นหลัก ถึงพนักงานจะทำงานดีแค่ไหนก็ตาม หากปีไหนตัวเลขกำไรดี พนักงานก็จะสบายใจขึ้นมาหน่อย  แต่หากปีไหน เวลาไหนที่กำไรไม่ถึงเป้าหมายที่กำหนด เตรียมเจอกับความกดดันอันมหาศาลได้ พนักงานที่กระทบไม่ใช่พนักงานตำแหน่ง Sales แต่เพียงอย่างเดียว พนักงานในสำนักงานตำแหน่งอื่นก็เช่นกัน  การทำงานที่ไม่มีความสุขของพนักงาน มีแต่ทำให้ทุกสิ่งแย่ลง การบริการลูกค้าก็แย่ลง ไม่ได้ทำงานด้วยความสุข สุดท้ายผลกำไร การดำเนินการก็ไม่ได้ตามที่หวังอยู่ดี ถึงได้ตามเป้า ก็ต้องแลกมาด้วยความไม่มีความสุขในการทำงานของพนักงาน

     และนี่เป็นผลเสียที่ยกมาเพียง 2 ข้อ ซึ่งก็ครอบคลุมมากแล้ว คราวนี้มาลองคิดแบบ นักการตลาดดูว่า จะช่วยให้ธุรกิจของคุณอยู่รอดได้อย่างไรกัน

     1. การคิดแบบนักการตลาด จะคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก มากกว่าความต้องการของตัวเอง
         การคิดแบบนักการตลาด จะมีการวิจัย วิเคราะห์ นำความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย เป็นหลักในการพัฒนาสินค้า ในการผลิตสินค้า เพื่อตอบความต้องการของลูกค้า  บางครั้ง ก่อนที่จะตั้งธุรกิจใด ธุรกิจหนึ่งขึ้นมา ก็จะวิเคราะห์ถึงความต้องการของลูกค้า การแก้ไขปัญหาของลูกค้า ก่อนผลิตสินค้าด้วยซ้ำไป จึงทำให้สินค้านั้น เป็นที่ต้องการของลูกค้าจริงๆ แก้ไขปัญหาลูกค้าได้จริงๆ ไม่ได้มีการมโนเอาเอง โดยเอาความต้องการของผู้ทำธุรกิจเป็นที่ตั้ง  ไม่ใช่เฉพาะการคิดถึงความต้องการของลูกค้าก่อนผลิตสินค้าออกมาเท่านั้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น ราคา สถานที่ในการจัดจำหน่าย การคิดแบบนักการตลาด ก็จะคิดแบบที่ว่า ราคานี้เหมาะสมกับสินค้า เหมาะสมกับลูกค้าเป้าหมายหรือไม่  ที่จัดจำหน่ายลูกค้าเป้าหมายสามารถไปซื้อได้อย่างสะดวกหรือไม่ เป็นต้น  ลองคิดดูซิครับ ว่าสินค้าที่คิดแบบไหน ที่จะขายดีกว่ากัน คุณมีคำตอบแล้วน่ะ

     2. การคิดแบบนักการตลาด ที่มีการนำความต้องการของลูกค้าเป็นหลักในการทำธุรกิจ จะคำนึงถึงทรัพยากรคน ด้วยในการทำงาน

          การคิดแบบนักการตลาด หากจะมีการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด กลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ จะมีการเรียกประชุมทีมงานตั้งแต่ฝ่ายผลิต  ฝ่ายบุคคล ฝ่ายบริหาร ฝ่ายการตลาด และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาประชุมร่วมกัน เพื่อรับฟังเสียงร่วมกัน ทำให้เกิดความคิดร่วมกัน ในการผลิต และพัฒนาผลิตภัณฑ์ในธุรกิจนั้น ทำให้ทีมงาน พนักงานรู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นคนสำคัญ และมีบทบาทในการขับเคลื่อนองค์กร ทำให้พนักงานรู้สึกรักองค์กร จงรักภักดีกับองค์กรมากขึ้น ในบางองค์กร ที่มีแนวคิดทางการตลาดเด่นชัด ได้กำหนดเป็นนโยบายที่ให้ความสำคัญกับ "พนักงาน" ในองค์กรธุรกิจเป็นหลัก เป็นอันดับแรกเลยทีเดียว  แต่มีข้อควรระวัง ใช่แล้วที่ความคิดแบบนักการตลาด จะนำความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก แต่อย่านำการตอบสนองความต้องการของลูกค้า เป็นหลัก จนไม่ฟังเสียงสะท้อนของพนักงาน ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากจนเกิดไป จนลืมความรู้สึกของพนักงาน แนะนำได้ว่า คุณแชร์ๆ กัน คือ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วย และรับฟังเสียง คำนึงถึงความรู้สึกของพนักงานด้วย แชร์กัน อาจจะตอบสนองความต้องการลูกค้า 60% ความรู้สึกพนักงาน 40%. หรืออาจจะ 70% ต่อ 30% ก็ได้ อย่างน้อยก็มีการคิดถึงพนักงานในเปอร์เซ็นต์นั้น

        มาถึงตรงนี้คุณอาจจะมองภาพออกแล้วน่ะครับว่า การคิดแบบนักการตลาดจะทำให้ธุรกิจอยู่รอดในยุคใหม่นี้ได้อย่างไร  เปลี่ยน หากอยาก รู้รอด ครับ การทำธุรกิจแบบเดิมแทบจะใช้ไม่ได้แล้ว


ไม่มีความคิดเห็น