Header Ads

การตลาดคือการเล่าเรื่องราวของสินค้า ใครเล่าได้ดี ผู้นั้นชนะ

     เรื่องราว หรือ Story ที่ผมพูดถึง ไม่ใช่การเล่านิทานให้เด็กๆฟัง  ไม่ใช่เรื่องราวชีวิตของบุคคลสำคัญ แต่ที่ผมกำลังจะชี้ให้เห็นคือ เรื่องราวที่เกี่ยวกับสินค้า บริการ และบริษัทของคุณในการเผยแพร่ให้ชาวโลกได้รับรู้ ถึงความเป็นมาที่น่าสนใจเกี่ยวกับสินค้า และบริการของคุณ

     เพราะอะไรการเล่าเรื่องราว เกี่ยวกับสินค้า แบรนด์ของคุณถึงสำคัญมากๆ ในการตลาดยุคปัจจุบัน ผมกำลังบอกว่า หมดยุคของการเล่าเรื่องเกี่ยวกับ คุณประโยชน์ของสินค้า จุดเด่นของสินค้าไปแล้วครับ แบบนั้นมันเชยไปแล้ว  และผมก็การันตีได้ว่า นักการตลาดคนไหนก็ตามที่นำคุณภาพ คุณประโยชน์สินค้า ขึ้นต้นทำการตลาดเลย  คุณกำลังล้มเหลวในการทำการตลาดยุคใหม่นี้


     เพราะอะไรถึงกล่าวเช่นนั้นหรือครับ ก็เพราะคนในการตลาดสมัยใหม่นี้ ชอบฟังเรื่องราวไงครับ และธรรมชาติของคนสมัยใหม่นี้ หากได้รับฟังเรื่องราวอะไรที่ประทับใจจะทำอะไรกัน?  ก็แชร์กันไงครับโดยเฉพาะสื่อ โซเชียล ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น Facebook IG  Twitter เป็นต้น การการแชร์เรื่องราวต่างๆ ต่อๆ กันไปนี่แหละครับคือค่าของการตลาดที่มหาศาลทีเดียว

     แล้วจะเล่าเรื่องราวอะไรดีล่ะ?

    คุณคงจะงงๆ ว่าแล้วจะเล่าเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับสินค้า และแบรนด์ของคุณอย่างไรดี ไม่ต้องห่วงครับมันไม่ใช่เรื่องยากเลย  ผมลืมบอกไปอย่างหนึ่งคือ  การเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสินค้า บริการ หรือแม้กระทั่งแบรนด์ของคุณนั้น คุณต้องตั้งเป็นกลยุทธ์การตลาดลำดับแรกๆ สุดเลยครับ  เพราะเมื่อคุณชูเกี่ยวกับเรื่องราวของสินค้า บริการ แบรนด์ของคุณแล้ว ทุกๆ อย่างทางการตลาดไม่ว่าจะเป็น กลยุทธ์  การส่งเสริมการตลาด แม้กระทั่งการโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ จะทำโดยสอดคล้องกับเรื่องราวของคุณ  ฉะนั้นเรื่องราวคือจุดกำเนิด ทางการตลาดของแบรนด์ของคุณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    เอาล่ะครับเพี่อไม่ให้เสียเวลาเรามาทราบกันว่าจะเล่าเรื่องราวสินค้า แบรนด์ของคุณด้วยหัวข้ออะไรดี

    1. จุดกำเนิดของสินค้า และแบรนด์ของคุณ

         อะไรเป็นแนวคิดของสินค้า และแบรนด์ของคุณ ยกตัวอย่างเช่น คุณขายสินค้าพวกกีตาร์ไฟฟ้า และกีตาร์ธรรมดา คุณอาจจะทำการตลาดเรื่องราวความเป็นมาของการนำกีตาร์มาขาย เพราะว่าตอนเป็นเด็กคุณได้รับของขวัญอันสุดแสนวิเศษจากพ่อของคุณ เป็นกีตาร์โปร่งตัวแรก และจากนั้นมากีตาร์ตัวนี้ทำให้คุณเป็นคนชอบดนตรี และต้องการส่งผ่านความชอบนี้ ไปกับกีตาร์ทุกตัวที่คุณขายเป็นต้น

          เป็นการสื่อเรื่องราวที่แสนธรรมดา แต่เป็นเรื่องราวที่สื่อถึงการตลาดอย่างมหาศาล เพราะทุกๆ คนบนโลกนี้ต้องการเรื่องราวที่ระลึกถึง การได้ฟังเรื่องราวดังกล่าวจะเป็นการตอกย้ำ และย้อนเวลาสู่สิ่งที่สวยงามในวัยเยาว์  อันนำมาซึ่งภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์และสินค้าของคุณ  แต่กลับกันหากคุณทำการตลาดเกี่ยวกับคุณภาพของกีตาร์ เสียงของกีตาร์ มันก็ธรรมดามากๆ เพราะอะไรน่ะหรือครับ  ก็ใครๆ ก็ขายกันไม่ใช่มีแค่คุณคนเดียวสักที่ไหนที่ขายกีตาร์  ถูกไหมครับ

     2. เล่าว่าหากลูกค้าซื้อสินค้าของคุณแล้วเขาจะได้อะไร

        ที่ผมกล่าวไว้นี้ว่า เขาจะได้อะไร เนี่ยไม่ใช้ว่า ได้สินค้าดีมีคุณภาพ ได้คุณประโยชน์โดยตรงของสินค้าน่ะครับ  ผมเคยบอกแล้วว่า คำว่า "ได้อะไร" จะต้องสื่อถึงอารมณ์ ความรู้สึก ซึ่งมีประโยชน์มากกว่าการที่คุณจะทำการตลาดเกี่ยวกับประโยชน์ของสินค้ามากมายนัก  จงจำไว้ว่าลูกค้า หรือแม้กระทั่งตัวคุณเองซื้อสินค้าด้วยอารมณ์ 90% ฉะนั้นคุณต้องเล่าเรื่องราวอะไรก็ได้ที่เป็นการกระแทก ตอกย้ำความต้องการทางด้านอารมณ์ของลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมาย

        เช่น เอาร้านขายกีตาร์อีกครั้งแล้วกันครับ  คุณอาจจะบอกว่าการที่คุณได้กีตาร์ไปเล่นที่บ้าน ก็เพื่อให้คนในบ้านอบอุ่นด้วยเสียงดนตรีจากกีตาร์ของคุณ  หรือหากลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่น อาจจะขายอนาคตว่าหากเขาซื้อกีตาร์จากคุณไปฝึกฝนทุกๆ วัน โดยที่เขาไม่ต้องไปรอเช่ากีตาร์จากข้างนอกจะทำให้เกิดความต้องเนื่องในการฝึกซ้อม ฝีมือเขาจะดีขึ้นทุกๆวัน จนสามารถเล่นเพลงอวดสาวๆ ได้  หรือแม้กระทั่งเป็นสมาชิกของวงดนตรี เป็นต้น  การเล่าเรื่องราวลักษณะนี้จะต้องเล่าให้ลูกค้าของคุณสร้างภาพให้ได้  โดยคุณอาจจะเล่าให้ตนเองก่อน  หากคุณเล่าให้ตัวคุณเองฟังแล้ว เกิดเป็นภาพชัดเจน  คุณก็นำมาใช้กับลูกค้าของคุณ

       ที่สำคัญการเล่าเรื่องราวลักษณะนี้จะต้องดูถึงกลุ่มเป้าหมายดีๆ น่ะครับ เพราะกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มย่อมมี Life Style ที่ไม่เหมือนกัน  การทำการตลาดตรงลักษณะ และอารมณ์ของกลุ่มเป้าหมาย จะทำให้ให้การเล่าเรื่องราวประสบความสำเร็จรวดเร็วขึ้นครับ


ธวัชชัย สุวรรณสาร
วิทยากร และที่ปรึกษาทางการตลาด

ไม่มีความคิดเห็น